หน้ากากแก้ว 42 … กรี๊ดดดดดดดดดดด >_<

Oct 18th, 2008 | By | Category: Articles
หน้ากากแก้ว 42 … กรี๊ดดดดดดดดดดด >_<

by vee vee’ เขียนลงใน Bloggang เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2548

ได้อัพบล็อกแย้วววว~~~~

ความจริงอยากอัพตั้งแต่ได้อ่านหน้ากากแก้ว 42 เมื่อสองสามวันก่อน แต่มีงานด่วนต้องปั่นกว่าจะเสร็จ(ไปหนึ่งล็อต) T_T (แต่ก็ยังแว่บอ่านการ์ตูนได้นะ ฮึ่ม) ประกอบกับเข้าบล็อกไม่ได้เลย เข้าทีไรเป็น connection data error (ถ้าจำไม่ผิดนะ)ทู้กที เพราะคอมน้อยใกล้เดี้ยงหรือบล็อกมีปัญหากันล่ะนี่ เอาเหอะ เข้าเรื่องดีกั่วววว….

ขอสรุปข้อสังเกตที่ได้จากตัวเองเป็นข้อๆ ดังนี้

ข้อแรก
ไม่อยากเชื่อว่าอ่านแล้วกรี๊ด

ไม่อยากเชื่อจริงๆ เพราะสำหรับตัวเองเรื่องไหนที่เก่าหรือต้องรอนานเกินไปมักทำให้ไม่ว่ารักแค่ไหนก็จืดจางได้มาเยอะแล้ว เช่น X ของแคลมป์ที่สมัยลงใน OMO กับ Image Move ทำเคยกรี๊ดดดดมาก (อดีตสาวกแคลมป์ ฮี่ๆๆ) แต่พอได้อ่านต่อจาก VBK ความรู้สึกมันหายต๋อมไปไหนหมดไม่รู้ เหมือนอ่านตามหน้าที่ซะงั้น (หน้าที่ตามดูตอนคุณเซย์กับซุบารุออกโรงน่ะสิไม่ว่า)

เพราะงั้นก็เลยคิดว่าหน้ากากแก้วก็คงเช่นกันเพราะอ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิของชีวิตมาจวบจนฤดูร้อน (เอาน่า ชีวิตเราคงยังไม่เข้าฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาวหรอก) พบว่าเมื่ออ่านแล้วรู้สึกว่ายังน่าติดตามอยู่ไม่เปลี่ยน ก็กรี๊ดค่ะกรี๊ด ดีใจชะมัดที่อ่านเล่ม 42 แล้วรู้สึกสนุก นึกว่าต่อมการ์ตูนผู้หญิงตายด้านไปซะแล้น

พูดถึงการ์ตูนที่อ่านสมัยเด็ก เรื่องแรกของมิอุจิ สึซึเอะที่ได้อ่านในชีวิตไม่ใช่เรื่องนี้แต่เป็น “ยอดหญิงอัศวิน” ( ชื่อเรื่องซ้ำกับ”ยอดหญิงอัศวิน”ของโซเนะ มาซาโกะ แต่นี่เป็นประวัติ โจน ออฟ อาร์ค) เล่มละหกบาทของ SIC กับเรื่อง “ไฟรักไฟแค้น” ของมิตรไมตรีที่จำเนื้อเรื่องไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่านางเอกตามแก้แค้นให้ครอบครัว แล้วก็”แมวกินคน” ของมิตรไมตรีเหมือนกันที่ตอนเด็กสยองมากเรื่องแมวอาละวาดฆ่าคน แต่ไม่ยักฝังใจกลัวแมวนะ ก็ยังชอบแมวอยู่ดี

หวายนอกเรื่องแร้ว รีบเข้าเรื่องเร็ว

ข้อสอง
ตกลงที่เคยตามอ่านใน Friend และ OMO (<– ถ้าจำไม่ผิด) เมื่อสิบปีก่อนมันกลายเป็น Alternate Universe ของเรื่องนี้ไปแล้วใช่มั้ย 555

เคยได้ข่าวว่าเขียนซ่อมทั้งเล่ม แต่ซ่อมเขียนใหม่แบบนี้มันเกินคาดจริงๆ นะอาจ๊านนน
.
.
.
.
.
.

————————— SPOILER ————————
.
.
.
.
.
.

– อายุมิไม่ตาบอดแล้ว???
สำหรับตัวเองแล้วมักชอบคาร์แร็กเตอร์ที่ดิ้นรนและพรแสวงมากกว่าพรสวรรค์ (แต่ทุกอย่างก็มีข้อยกเว้นกันได้ 555) ดังนั้นขอสารภาพว่าในเวอร์ชั่นเก่าเชียร์อายุมิสุดตัวเลยแหละ แต่พอเวอร์ชั่นนี้…เอ่อ…อายุมิไม่น่าสงสารเหมือนเก่าเลยซักติ๊ดเดียว!!! แต่ก็ดีนะจะได้แข่งกันสมน้ำสมเนื้อยิ่งขึ้น สมกับที่บางท่านบอกไว้ว่าต้องเปลี่ยนเพราะถ้าเดินเรื่องแบบเก่าก็ไม่รู้จะจบลงยังไงจริงๆ นั่นล่ะ

– มายะเลิกฟูมฟายเสียที
ชอบแบบของใหม่มากกว่านะ กระชับขึ้นเยอะเลยเพราะมายะทำใจเรื่องอกหักจากคุณมาสุมิเร็วมั่กๆ พอถึงท้ายเล่มเธอก็ทำใจได้แล้วว่าจะแสดงให้เต็มที่เพื่อแฟนละครคนแรกคือคุณกุหลาบสีม่วงมากกว่าจะมัวมาเสียใจที่อกหักจากมาสุมิ ที่เวอร์ชั่นเดิมเชียร์อายุมิเพราะมายะก็มีส่วนด้วยแหละ เธอฟูมฟายนานเหลือเกิน อ่านแล้วเหนื่อย

– ไม่ต้องอุดจมูกในซีนของคุณซาโอริ
ตรงนี้ก็เป็นส่วนที่ดีใจมากๆๆๆๆๆ เพราะของเดิม คุณซายูรินี่ช่องเจ็ดมาเอ๊งงง แกล้งทำให้มายะกับมาสุมิเข้าใจผิดกันบ้างล่ะ จะฆ่าตัวตายเพื่อขวางไม่ให้ทั้งคู่พบกันบ้างล่ะ เอิ๊กกกก ไม่ไหวอีก เหตุหนึ่งที่จะจบไม่ลงก็เพราะยังงี้ล่ะ แต่ของใหม่นี่บทคุณซาโอริหายไปเยอะเลย กลายเป็นคุณหนูตระกูลดีธรรมด๊า ธรรมดา (ดี!!! จะได้เน้นแต่ประเด็นสำคัญ ยืดไปก็ใช่ว่าจะได้สปอนเซอร์โฆษณาเพิ่มที่ไหนกัน) หวังว่าคงไม่มีแผลงฤทธิ์ตอนท้ายหรอกนะ
.
.
.
.
.
.

—————————–SPOILER ———————–
.
.
.
.
.
.

ข้อสาม
ตกตะลึงพรึงเพริดในเทคโนโลยี

ซากุระโคจิใช้มือถือรุ่นเปิดฝาและถ่ายภาพได้ ชอบจริงๆ อัพเดทๆ

ข้อสี่
ข้อสังเกตเล็กน้อยเรื่องการแปล

มีอยู่ตอนหนึ่งที่คนเล่นละครกลุ่มเดียวกับกับมายะและซากุระโคจิวิจารณ์ทั้งคู่ว่าเหมือนคู่รักวัยรุ่นที่เดินแถว”สยาม” มากกว่าจะเป็นอิชชินกับอาโกยะคาดว่าต้นฉบับน่าจะเป็น “ชินจุกุ” นึกถึงคำสองคำในทฤษฎีการแปลขึ้นมาคือคำว่า Domestication กับ Foreignization ซึ่งเป็นทางเลือกที่ผู้แปลจะเลือกใช้เมื่อต้องเจอวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคยในภาษาฉบับแปล

Domestication คือการแปลที่ปรับเข้าหาภาษาฉบับแปล เป็นแนวทางที่นักแปลรุ่นเก่ายึดถือกันเพราะถือว่าการแปลที่ดีต้องให้รื่นและกลมกลืนอ่านแล้วไม่รู้เลยว่าแปลมา ตัวอย่างงานแปลชั้นครูของวิธีนี้ก็คือเรื่อง “กามนิต” ของเสฐียรโกเศศ ที่อ่านแล้วไม่รู้จริงๆ ว่าท่านแปลมาจากนิยายเรื่อง The Pilgrim Kamanitta ของนักเขียนเยอรมันที่ชื่อ Karl Gjellrup โน่น สุดยอดดดด ( สำนวนในห้องการ์ตูนเรียกว่า “ระดับเทพ” ใช่ไหม นี่แหละ ระดับเทพของแท้ >_<)

Foreignization คือการแปลให้คงบรรยากาศนมเนยอันไม่คุ้นเคยจากต้นฉบับไว้ เป็นแนวคิดที่มาทีหลังเพราะถือว่าหนังสือแปลคือการพาผู้อ่านไปสัมผัสวัฒนธรรมใหม่ๆ ด้วย การแปลแบบนี้พบทั่วไปในหนังสือแปลในปัจจุบันเช่น Harry Potter อ่านแล้วรู้สึกว่านักเรียนอังกริ๊ดด อังกฤษใช่มั้ยล่า

เดี๋ยวจะนอกเรื่องหน้ากากแก้วไปซะก่อน ผู้แปลเลือกปรับให้เป็น “สยาม” ซึ่งสำหรับตัวเองแล้วคิดว่าตรงนี้ไม่ต้อง Domestication ให้คนอ่านก็ได้นะ เพราะชาวการ์ตูนก็คุ้นกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นอยู่แล้ว ที่แสดงความเห็นนี้ไม่ได้ว่าผู้แปลๆ ผิดนะ เพราะผู้แปลคืออลิสา มุทธาประพฤทธิ์ (นามปากกาว่า”พี่เหมียว”ใช่ไหม) เป็นนักแปลรุ่นเก่าซึ่งฝีมือเยี่ยมชนิดไม่ต้องห่วงอยู่แล้ว มันเป็นแค่ทางเลือกของนักแปลเท่านั้นล่ะ ว่าแล้ว SIC น่าจะใช้นักแปลดีๆ เยอะๆ นะเสียดายงานเรื่องอื่นที่เสียไปเพราะลิขสิทธิ์ผูกขาดโจ๊ะกับการแปลห่วยๆ เฮ้อ…

ข้อห้า
ความแตกต่างของตัวละคร

ชอบที่คนเขียนเล่นเรื่องนี้เปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนมากๆ ตอนที่ซากุระโคจิบอกกับมาสุมิว่าไม่ค่อยเข้าใจเรื่อง “อีกครึ่งหนึ่งของวิญญาณ” แล้วมาสุมิพูดทำนองว่า

“หากได้พบอีกครึ่งหนึ่งแล้ว คนเราก็จะรู้ตัวว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ตัวเองเดียวดายแค่ไหน และหากผูกพันกันไม่ได้จะเป็นยังไง”

ในขณะที่ซากุระโคจิยังสงสัยอยู่และคิดว่าหากเจอ half soul จริงก็น่าจะดีใจไม่ใช่หรือ

เห็นเลยว่าเด็กก็คิดอย่าง ลุงก็คิดอีกอย่าง รู้สึกเหมือนที่ผ่านมาจะไม่ค่อยมีแง่มุมแบบนี้ในเรื่องนี้(หรือเปล่านะ สงสัยต้องขุดมาอ่านอีกรอบ) ก็เลยชอบ ส่วนเรื่องหนูเปี๊ยกชอบเถียงกับปิศาจบ้างานนั่นถือเป็นแก๊กหวานแหวว(?) ไม่นับ
ข้อสุดท้าย
รู้สึกว่าคุณมาสุมิไม่ใช่ลุงแล้ว

ไม่ใช่ว่ามาสุมิเด็กลงหรอกนะ แต่เพราะอะไรก็คงรู้ๆ กันอยู่ อ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ยายมายะอายุเป็นพี่สาวจนตอนนี้…เอิ๊ก… สมัยเด็กรู้สึกว่ามาสุมินี่ “โคตรลุง” แต่พอตอนนี้เขาเป็นแค่หนุ่มใหญ่คนหนึ่ง

ไม่ใช่ลุงอีกต่อไป ซิกๆๆๆ
——————————————————————————–
ท้ายนี้เจอเว็บตอนหาปกมาประกอบ (ขี้เกียจสแกนเองง่า…) มีปกของเรื่องนี้หลายเวอร์ชั่นให้ดู

http://www.dreamsaddict.com/GarasuNoKamen/MangaGallery.html

ปกของอิตาลี่กับ bunkoban สวยจัง อยากให้ปกเมืองไทยเป็นแบบนี้บ้างจัง

Tags:

One comment
Leave a comment »

  1. หายเข้าป่าไปแป๊ปเดียว กลับออกมามือถือเปิดฝาถ่ายรูปได้ซะแล้ว
    อิอิ
    แต่ก็ชอบนะคะ กลับมาอ่านก็ยังสนุก และรู้สึกว่าเนื้อเรื่องกระชับขึ้นจริงๆ
    มายะฟูมฟายน้อยลง
    ส่วนคุณมาสึมิ…. เพราะอายุคนอ่านใกล้เคียง (บางคนก็แซง ^^) เลยทำให้รู้สึกว่าไม่ได้เป็นลุงจริงๆนั่นล่ะค่ะ
    หวังว่าเล่มต่อไปจะออกมาไวๆเนอะคะ

Leave Comment